เชื่อว่า “เทือกเขาหิมาลัย ยอดเขาเอเวอเรสต์ ประเทศเนปาล” คือหนึ่งใน Wish List ของใครหลายๆ คน การได้มีโอกาสพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกถือเป็นเรื่องที่เราต้องทำให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะมากไปกว่าทักษะการปีนเขาที่จะได้รับแล้ว เราจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวรวมถึงตัวเราเองด้วยเช่นเดียวกัน โดยที่จะมีทิวทัศน์เป็นรางวัลระหว่างทาง ตลอดระยะทางที่สูง 8,848 เมตรนี้
หากใครบอกว่า เราไม่มีทางทำได้ จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เขาพูด แต่ให้เชื่อในตัวเรา เพราะในปี 1953 Sir Edmund Hillary ชาวนิวซีแลนด์ และ ผู้ร่วมเดินทางชาวเนปาล Tenzing Norgay คือ 2 คนแรกของโลกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ปลายทางของยอดเขาเอเวอเรสต์ถือเป็นจุดเริ่มต้นความฝันของใครหลายๆคน
ปัจจุบันมีหลากหลายเส้นทางที่นักท่องเที่ยวหรือนักปีนเขาสามารถขึ้นไปพิชิตได้ โดยเราจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับ 2 เส้นทางที่แตกต่างอย่างเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งได้แก่ Everest Base Camp (EBC) จุดเริ่มต้นของผู้ที่ต้องการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ และ Annapurna Base Camp (ABC) เส้นทางของยอดเขา Annapurna ที่สูงเป็นอันดับ 10 ของโลก โดยมีนักปีนเขาท้องถิ่นมืออาชีพนำทางและให้ความช่วยเหลือตลอดเส้นทาง
Everest Base Camp (EBC)
ด้วยความสูง 5,364 เมตร เส้นทางนี้ใช้ระยะเวลาเดินทางเริ่มต้นทั้งหมด 13 วัน หรืออาจจะมากถึง 18 วัน ตามแต่ทางเลือกของเราว่าจะแวะพักหรือจะเดินต่อไปในทุกจุดบนเทือกเขา เพราะเส้นทางนี้มีทุกอย่าง ตั้งแต่หมู่บ้านสวยๆ ของชาวพื้นเมือง Sherpa ไปจนถึงเส้นทางเดินแสนคลาสสิกอันเป็นจุดเริ่มต้นของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่จะหาไม่ได้จากที่ไหน โดยเส้นทางนี้เหมาะสำหรับนักเดินเขาทุกประเภทรวมถึงมือใหม่ด้วยเช่นกัน
เริ่มต้นการเดินทาง EBC (13 วัน)
Day 1 : Arrive in Kathmandu
Day 2 : Go to Lukla & Trek to Phakding
Day 3 : Trek to Namche Bazaar
Day 4 : Relax in Namche Bazaar
Day 5 : Trek to Tengboche
Day 6 : Trek to Dingboche
Day 7 : Relax in Dingboche
Day 8 : Trek to Lobuche
Day 9 : – Trek to Gorakshep
– Arrive in Everest Base Camp
– Back to Gorakshep
Day 10 : Back to Namche Bazaar
Day 11 : Back to Lukla
Day 12 : Back to Kathmandu
Day 13 : Back to Bangkok
เส้นทางตั้งแต่เมือง Lukla จนถึงหมู่บ้าน Namche Bazaar เราจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ทุ่งนาเขียวขจี น้ำตก และความสวยงามของหมู่บ้านเรียงรายอยู่ โดยจุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่เราจะสัมผัสได้ถึงความสะดวกสบายที่มีอาหารและข้าวของเครื่องใช้ขายอย่างครบครัน อีกทั้งยังสามารถเที่ยวชม Sagarmatha National Park อุทยานแห่งชาติที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ได้ที่นี่เช่นกัน และหากว่ามาในช่วงฤดูหนาวแล้วทิวทัศน์รอบตัวเราจะเปลี่ยนจากสีเขียวขจีเป็นสีขาวโพลนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านต่างๆ ไปยังจุดหมาย Everest Base Camp ทิวทัศน์ของต้นไม้และหมู่บ้านก็จะค่อยๆ หายไปกับหุบเขา พร้อมกับออกซิเจนที่ก็เบาบางลงเมื่อเรายิ่งเดินทางสู่ที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจะถูกแทนที่ด้วยทิวทัศน์ที่ต่างออกไป คือเป็นภูเขาสีน้ำตาลกว้างใหญ่ไพศาลและก้อนหินประปรายรายทาง บวกกับความอบอุ่นของธรรมชาติจากแสงแดดที่ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นบนเทือกเขาสูงให้กับเราได้
หลังจากมาถึงจุดหมาย Everest Base Camp แล้ว นอกเหนือไปจากทิวทัศน์อันงดงามรอบกาย เราจะสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจในตัวเอง และนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างทางขณะเดินผ่านจากจุดเริ่มต้นแรก จนถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายที่ทักทายเราด้วยคำว่า “ความสำเร็จ”
มาถึงตรงนี้หากตัดสินใจเดินทางกลับ จะต้องเดินลงจาก Everest Base Camp กลับไปยังหมู่บ้าน Gorakshep และเทรคลงไปยัง Namche Bazaar จนถึงเมือง Lukla จากนั้นเดินทางไปยัง Kathmandu เมืองหลวงของเนปาล โดยสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมเนปาลและความสวยงามของโบราณสถานรอบๆเมือง เช่น ชมปราสาทและวัดที่ Kathmandu Durbar Square หรือ ช้อปปิ้งย่าน Thamel ได้ ซึ่งจะใช้เวลาทั้งทริปรวม 13 วัน ราคาเริ่มต้น 44,000 บาท
ทางเลือกของ EBC (18 วัน)
หลังจากถึงเส้นชัย Everest Base Camp และตัดสินใจที่จะผจญภัยต่อเพื่อชมวิวที่ยังแอบซุกซ่อนอยู่ภายในหุบเขามากมาย อีกหนึ่งตัวเลือกคือ การเทรคต่อไปยังเนินเขา Kala Patthar และเดินทางกลับผ่านหมู่บ้านอื่นๆ ที่เหลืออยู่ โดยจะใช้เวลาทั้งทริปรวม 18 วัน ราคาเริ่มต้น 53,000 บาท
การเดินทางไปยังเนินเขา Kala Patthar ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับนักเดินทางที่ชอบความท้าทายและการฝึกฝนร่างกายกับจิตใจ เพราะที่นี่สูง 5,545 เมตร ซึ่งสูงกว่า Everest Base Camp เลยทีเดียว แต่ที่พิเศษคือเราสามารถมองเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์ในระยะที่ใกล้ที่สุดได้จากที่นี่เท่านั้น หากโชคดีก็อาจจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหลังยอดเขาเอเวอเรสต์สุดมหัศจรรย์เป็นรางวัลอันมีค่าให้กับชีวิตของการผจญภัยก็เป็นได้
Day 1-9 : From Kathmandu to Everest Base Camp
Day 10 : – From Everest Base Camp to Kala Patthar
– Back to Dzongla
Day 11 : Trek to Thangnak
Day 12 : Trek to Gokyo
Day 13 : Trek to Gokyo Ri
Day 14 : Trek to Dole
Day 15 : Back to Namche Bazaar
Day 16 : Back to Lukla
Day 17 : Back to Kathmandu
Day 18 : Back to Bangkok
ทิวทัศน์และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราจะสัมผัสได้จากเส้นทางนี้ ได้แก่ บริเวณ Thangnak ที่จะสามารถขึ้นไปพิชิตยอดเขา Cho La อันแสนท้าทายได้ หรือเดินทางข้ามช่องแคบบริเวณหมู่บ้าน Gokyo เพื่อชมทะเลสาบน้ำจืดที่สูงที่สุดในโลก และขึ้นไปชมวิวภูเขาอันงดงามสุดลูกหูลูกตาบนยอดเขา Gokyo Ri อีกทั้งยังมีทิวทัศน์ระหว่างทางให้ชมแบบชิลๆ ที่หมู่บ้าน Dole ขณะเดินกลับอีกด้วย
Annapurna Base Camp (ABC)
ABC ตั้งอยู่ที่ระดับด้วยความสูง 4,130 เมตร เป็นเส้นทางของยอดเขา Annapurna บนเทือกเขาหิมาลัย ที่สูงเป็นอันดับ 10 ของโลกโดยสูงประมาณ 8,091 เมตร เตี้ยกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ 751 เมตรเท่านั้น เส้นทางนี้ถือเป็นเส้นทางยอดนิยมในหมู่นักเดินทางแม้ว่าจะสูงชันและวกไปวนมา โดยใช้เวลาเดินทางเริ่มต้นทั้งหมด 11 วัน หรืออาจจะ 16 วัน ในราคาเริ่มต้น 17,000 – 48,000 บาท ตามแต่ตัวเลือกของเรา
ทัศนียภาพที่นี่งดงามและเป็นเอกลักษณ์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ทิวทัศน์ของยอดเขา Annapurna, ยอดเขา Machapuchare, ยอดเขา Dhaulagiri ที่สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก, ยอดเขา Himchuli และยอดเขา Nilgiri นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยหมู่บ้านชนพื้นเมืองที่รุ่มรวยทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพให้เราได้สัมผัส
เริ่มต้นการเดินทาง ABC (11 วัน)
Day 1 : Arrival in Kathmandu
Day 2 : Go to Pokhara
Day 3 : – Go to Nayapul
– Trek to Grandruk
Day 4 : Trek to Chomrong
Day 5 : Trek to Dovan
Day 6 : Trek to Deurali
Day 7 : Trek to Annapurna Base Camp
Day 8 : Trek to Bamboo
Day 9 : Trek to Jhinu dada
Day 10 : – Back to Nayapul
– Back to Pokhara
Day 11 : – Back to Kathmandu
– Back to Bangkok
การเดินทางในช่วงแรกๆ จะได้สัมผัสกับป่าเขา หมู่บ้าน และการเกษตรของชาวพื้นเมืองบนที่ราบสูง ด้วยความที่พื้นที่เหล่านี้คือเขตพื้นที่อนุรักษ์จึงทำให้ลักษณะทางกายภาพนั้นยังดูสมบูรณ์ ทำให้เราได้สัมผัสถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง โดยมีแม่น้ำ Modi ไหลผ่านหุบเขาตลอดเส้นทางช่วงแรก และเห็นยอดเขา Annapurna สูงตระหง่านอยู่ไกลๆ เป็นกำลังใจให้เราระหว่างทาง
เมื่อเข้าสู่เส้นทางที่จะไปยัง Deurali เราจะได้พบกับน้ำตกระหว่างทางที่มหัศจรรย์และที่สวยงามมาก ก่อนที่จะถึง ABC เราจะพบกับ Machhapuchhre Base Camp ก่อน เราสามารถแวะพักชมวิวอยู่ในอ้อมกอบของหุบเขาแห่งนี้ก่อนได้ วิวที่นี่เป็นวิวภูเขาที่อลังการสุดลูกหูลูกตามาก เราจะสัมผัสได้กับทัศนียภาพที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีน้ำตาลขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นจะต้องเดินผ่านธารน้ำแข็งก่อนขึ้นไปยัง Annapurna Base Camp จุดหมายของเรา วิวทิวทัศน์ของที่นี่คือรางวัลตอบแทนให้กับเราที่มุ่งมั่นตลอดระยะเวลาที่เดินทางจากหมุดหมายแรกจนถึงเส้นชัยนี้ และหากว่าเป็นวันที่มีหิมะตกแล้ว เราจะได้พบกับความสวยงามของธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง ภูเขาจะถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวมองดูแล้วคุ้มค่ายิ่งนักที่ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้
ทางเลือกของ ABC (13 วัน)
เมื่อเดินทางจาก Kathmandu มาที่ Nayapul หมุดหมายแรกของการเริ่ม Trekking อันมี Annapurna Base Camp เป็นปลายทาง เราสามารถเทรคผ่านไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ตามแต่ที่เราต้องการได้ด้วยเช่นกัน โดยเราอาจจะเปลี่ยนการเทรคจาก Grandruk-Chomrong-Dovan ไปเป็น Ulleri-Gorepani-Chuile-Sinuwa แทนได้ โดยทางเลือกใหม่นี้จะผ่านหมู่บ้านมากกว่าทางเลือกแรก ทำให้เราสัมผัสได้กับธรรมชาติมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยจะใช้เวลาทั้งทริปรวม 13 วัน
Day 1-2 : From Kathmandu to Pokhara
Day 3 : – Go to Nayapul
– Trek to Ulleri
Day 4 : Trek to Ghorepani
Day 5 : – Trek to Poonhill
– Trek to Chuile
Day 6 : Trek to Sinuwa
Day 7 : Trek to Deurali
Day 8 : Trek to Annapurna Base Camp
Day 9 : Trek to Sinuwa
Day 10 : Trek to Jhinu dada
Day 11-13 : From Nayapul to Bangkok
EBC vs ABC
ทั้งสองเส้นทางล้วนมีทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาคุ้มค่าต่อการเดินทาง โดยความแตกต่างคือเส้นทางและหมู่บ้านแต่ละแห่งขณะเดินผ่าน ซึ่ง Everest Base Camp (EBC) นั้นเป็นเส้นทางของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่สูงที่สุดในโลก ส่วน Annapurna Base Camp (ABC) เป็นเส้นทางของยอดเขา Annapurna ที่สูงเป็นอันดับ 10 ของโลก ซึ่งระยะเวลาการเดินทางไป ABC นั้นจะสั้นกว่าไป EBC แต่ EBC จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าและแพงขึ้นตามจำนวนวันที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน