ค่ำคืนวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา ขณะที่เรายังคงสนุกสนานกับเทศกาลสงกรานต์ที่เพิ่งจบไป อีกฟากฝั่งของโลกกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

มหาวิหาร Notre Dame ในประเทศฝรั่งเศสถูกไฟไหม้ลุกโชนสร้างความเสียหายอย่างหนัก นำความเศร้าโศกมาสู่ประชาชนชาวฝรั่งเศสทั่วทั้งประเทศ

เหตุการณ์นี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสและของโลกเลยทีเดียว

ไฟที่ค่อยๆ ไหม้ ก็เปรียบเสมือนใจที่ค่อยๆ สลาย เพราะมหาวิหารเก่าแก่โบราณอายุกว่า 850 ปีแห่งนี้จะต้องพังทลายลงไปต่อหน้า และแม้ว่าจะบูรณะให้กลับมาคล้ายดังเดิมก็ไม่สามารถทดแทนความสวยงามดั้งเดิมที่สูญเสียไปได้เลย

เพราะมหาวิหาร Notre Dame แห่งนี้มีความสำคัญกับประเทศฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก

ที่ว่าหอไอเฟลนั้นสำคัญและถือเป็นสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสแท้จริงแล้วมหาวิหาร Notre Dame กลับดูเหมือนจะสำคัญยิ่งกว่

เพราะอยู่คู่ฝรั่งเศสมาช้านานหลายยุคหลายสมัยก่อนหอไอเฟลจะสร้างเสียอีก ตอนหอไอเฟลเพิ่งเริ่มสร้างเมื่อปี 1887 มหาวิหาร Notre Dame แห่งนี้ก็มีอายุได้ 700 กว่าปีแล้ว

กว่าจะเป็น Notre Dame

หากจะให้บรรยายถึงมหาวิหาร Notre Dame ก็คงต้องย้อนกลับไปในปีค.ศ.1163 ปีที่มหาวิหารแห่งนี้เพิ่งเริ่มสร้าง และกว่าจะสร้างเสร็จก็ปี 1345 แล้ว ซึ่งใช้เวลานานกว่า 182 ปีเลยทีเดียว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากว่ามหาวิหาร Notre Dame จะสร้างเสร็จได้ก็ต้องใช้หยาดเหงื่อแรงกายของบรรพบุรุษมากมายเพียงใดกว่าจะกลายมาเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในบรรดาโบสถ์โกธิคด้วยกัน

สถานที่ของคนสำคัญ

Notre Dame เป็นโบสถ์คาทอลิกยุคกลางแบบโกธิคแห่งแรกของฝรั่งเศสที่สร้างสไตล์นี้ โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระแม่มารีย์ มารดาของพระเยซูคริสต์

และในปี 1431 มหาวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 พระเจ้าแผ่นดินแห่งฝรั่งเศส

อีกทั้งยังเป็นสถานที่สำหรับพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ผู้ซึ่งเป็นรัฐบุรุษและผู้นำทางการทหารในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส

จะเห็นได้ว่า มหาวิหาร Notre Dame นั้นเป็นสถานที่สำหรับงานยิ่งใหญ่ของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ทั้งนั้น ก็เลยทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ในความทรงจำของชาวฝรั่งเศสไปโดยปริยาย

สถานที่เก็บของสำคัญ

ยิ่งไปกว่านั้นมหาวิหาร Notre Dame ยังเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต

เพราะตกแต่งด้วยศิลปะอันงดงาม ประติมากรรมอันอ่อนช้อย อย่างเช่น หน้าต่างกุหลาบทั้ง 3 บาน ที่มีอายุตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 13

บวกกับเป็นที่เก็บของมีค่าทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นมงกุฏหนามที่เชื่อว่าพระเยซูทรงสวมก่อนถูกตรึงกางเขน

เสื้อทูนิคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ที่สวมขณะอัญเชิญมงกุฎหนามมายังฝรั่งเศส

ระฆังจำนวน 10 ใบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อแทนระฆังดั้งเดิมที่ถูกหลอมกลายเป็นลูกปืนใหญ่ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส โดยระฆังแต่ละใบจะตั้งชื่อตามนักบุญ อย่างเช่น ใบที่ใหญ่ที่สุด ชื่อ Emmanuel หนักถึง 23 ตันเลยทีเดียว

ยังไม่หมดเท่านี้ ยังมีออร์แกนจำนวน 3 เครื่อง ซึ่งเครื่องที่ใหญ่ที่สุดประกอบไปด้วยไปป์จำนวนมากถึง 8,000 ไปป์ และที่สำคัญเก่าแก่มาตั้งแต่ ค.ศ. 1401 เลยทีเดียว

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

มหาวิหาร Notre Dame ถือเป็นแลนด์มาร์คของประเทศฝรั่งเศสที่มีนักท่องเข้าไปเยี่ยมชมแต่ละปีมากที่สุดในประเทศฝรั่งเศสและในบรรดาประเทศแถบยุโรปด้วยกันเอง

ซึ่งคิดเป็นตัวเลขจำนวนมากถึง 12 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว ถือว่ามากกว่าหอไอเฟล ที่มีนักท่องเที่ยวเพียงแค่ประมาณ 6 ล้านคนต่อปีเมื่อเทียบกับมหาวิหาร Notre Dame

สถานที่แห่งแรงบันดาลใจ

หลายๆ คนคงคุ้นตากับภาพยนตร์ของ Disney เรื่อง The Hunchback of Notre-Dame ประพันธ์โดย Victor Hugo นักเขียนชาวฝรั่งเศส ในปี 1831 ซึ่งพูดถึงหอระฆังอันลึกลับซับซ้อนภายในมหาวิหาร

นอกจากนั้นยังมีภาพยนตร์อื่นๆ อีกนับสิบๆ เรื่องเลยทีเดียวที่ปรากฏฉากสำคัญ ณ มหาวิหาร Notre Dame แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น
An American in Paris (1951)
Breathless (1960)
Charade (1963)
Bitter Moon (1992)
Amelie (2001)
Before Sunset (2004)
The Three Musketeers (2011)
Midnight in Paris (2011)
รวมถึง Beauty and the Beast ด้วย

ภาพยนตร์เหล่านี้คงไม่สามารถประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลกจนกลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกตลอดกาลได้ หากไร้ซึ่งแรงบันดาลใจดีๆ อย่างมหาวิหาร Notre Dame

สถาปัตยกรรมที่มีความหมาย

มากไปกว่าการเป็นโบสถ์คาทอลิกแล้ว Notre Dame คือสถาปัตยกรรมที่แฝงไปด้วยความหมายและนัยยะซ่อนอยู่

เริ่มจากก้าวแรกที่ก้าวเข้าโบสถ์เลย โดยบริเวณจตุรัสด้านหน้าโบสถ์ถือเป็นจุดศูนย์กลางของปารีส หรือที่เรียกว่า Kilometre Zero

เชื่อกันว่าหากเรายืนอยู่ด้านหน้ามหาวิหาร Notre Dame เรากำลังยืนอยู่ที่กิโลเมตรที่ศูนย์ ใจกลางของฝรั่งเศส เพราะที่นี่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นการวัดระยะทางทั้งหมดของฝรั่งเศส

หากใครที่เคยเดินขึ้นบันไดภายในมหาวิหารขึ้นไปชมวิวของปารีส ก็คงจะเคยเห็นประติมากรรม Gargoyle เป็นแน่

รูปปั้นนี้มีความเชื่อมาตั้งแต่ยุคกลางแล้วว่า พอตกกลางคืนรูปสลักที่ดูไร้ชีวิตนี้จะกลายร่างเป็นมังกรมาช่วยปกปักษ์รักษาเมืองให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย

แต่ในทางการก่อสร้างแล้ว Gargoyle ถูกใช้เป็นสิ่งที่ป้องกันน้ำไหลเข้าอาคาร เพราะสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในยุโรปมักสลัก Gargoyle ตามมุมต่างๆ ยื่นออกไปจากสิ่งก่อสร้างที่มีรางและช่องให้น้ำจากหลังคาไหลห่างจากตัวสิ่งก่อสร้า

ซึ่งคำว่า “Gar” นั้น แปลว่า กลืน คล้ายเสียงน้ำไหลในท่อนั่นเอง

ยอดมหาวิหารล้ำค่าที่สูญเสียไป

ภาพที่ยอดแหลมของมหาวิหาร Notre Dame กำลังค่อยๆหักลงจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ บีบหัวใจชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก

เพราะยอดแหลมนี้แฝงไปด้วยความหมายที่ลึกลับซับซ้อนผ่านช่วงเวลามาอย่างยาวนาน แม้ว่าจะเสียหายมาแล้วหลายครั้งก็ตาม

โดยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังคาและยอดแหลมของที่นี่ถูกบูรณะโดยสถาปนิก Eugene Emmanuel Viollet le Duc และช่างไม้ฝีมือดี Georges Angevin

งานนี้ถือเป็นงานที่ยากและซับซ้อนมาก แต่ Georges ใช้ทักษะขั้นสูงสุดของวิชาชีพที่น้อยคนนักจะสามารถใช้เทคนิคนี้ได้

อีกทั้งยังพบแผ่นเหล็กสลักตัวอักษร INDG บริเวณไม้ฉากและวงเวียนคล้ายกับของ Freemason ในมหาวิหารซึ่งถอดความได้ว่า ‘The Indians gave us the Genius.’

IND = Indian
G = Genius

Indian คือรหัสที่ใช้เรียกกลุ่มช่างไม้ฝีมือยอดเยี่ยมชาวฝรั่งเศส หรือเรียกอีกอย่างว่า Wolf ซึ่งการสืบทอดวิชาของช่างเหล่านี้ถือเป็นความลับ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถทำได้

ส่วน Genius สื่อถึงการสร้างในทางวิศวกรรมที่ทำให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้

ยอดแหลมของ Notre Dame ฝีมือล้ำค่านี้ต้องมอดไหม้ไปกับไฟจนหมดเกลี้ยง และแม้ว่าจะบูรณะขึ้นมาใหม่ก็คงไม่เหมือนเดิม

เพราะสิ่งที่สูญเสียไปนั้นคือฝีมือล้ำค่าของบรรพบุรุษที่มีคุณค่าต่อจิตใจชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก

Notre Dame ในอนาคต

Notre Dame ไม่ได้ถูกทิ้งอย่างเดียวดาย หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้

มีหลายๆ องค์กรที่ให้ความสำคัญและบริจาคเงินช่วยเหลือบูรณะซ่อมแซม จนตอนนี้มีเงินบริจาคถึง 800 ล้านยูโรเลยทีเดียว

โดยผู้บริจาครายใหญ่คือ LVMH บริษัทแม่แบรนด์หรูอย่าง Louis Vuittontton, Christian Dior, Fendi หรือ Givenchy ที่บริจาคไป 200 ล้านยูโร

อีกทั้งยังมีบริษัท Kering บริษัทแม่ของแบรนด์หรูอย่าง Gucci, Saint Laurent หรือ Balenciaga ที่บริจาคไป 100 ล้านยูโร

บวกกับบริษัทเครื่องสำอางค์ระดับโลก L’Oreal ที่บริจาคไป 100 ล้านยูโร พร้อมเงินองค์กรการกุศลของครอบครัวอีก 100 ล้านยูโร

ดูเหมือนส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัทแบรนด์หรูทั้งนั้น เพราะ ‘Luxury’ ก็เปรียบเสมือนวิถีชีวิตของปารีส ที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งกำเนิดของศิลปะและแฟชั่นในประวัติศาสตร์โลก

Notre Dame ในความทรงจำ

ภาพความงดงามของมหาวิหารยังตราตรึงอยู่ภายในใจเมื่อแรกเห็นมหาวิหาร

สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสำคัญมากมาย

เราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต ดังเช่นเหตุการณ์ไฟไหม้อันน่าเศร้าที่ทำลาย Notre Dame อันสวยงามไปเกือบครึ่ง

จากนี้ Notre Dame คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ก็ได้แต่เฝ้ารอวันที่ Notre Dame จะกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

เพราะหากฝรั่งเศสไม่มี Notre Dame แล้ว ก็เหมือนคนที่ขาดหัวใจหล่อเลี้ยงชีวิต…