อยากรู้ไหมว่าพวกเศรษฐีเขามีวิธีสอนลูกเรื่องการเงินอย่างไร ให้รวยตามรอยพ่อ ?

เรื่องการเงินเป็นสิ่งที่ทุกโรงเรียนต้องสอน แต่สิ่งที่โรงเรียนเคยสอนกลับเป็นสิ่งที่เหล่าเศรษฐีไม่ใช้สอนลูก ๆ ของตัวเอง วันนี้เราได้เอา 5 คำสอนเรื่องการเงินง่าย ๆ ที่พ่อรวยใช้สอนลูกมาให้คุณได้อ่านกัน ซึ่งขอบอกว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ข้อที่เรายกมาเท่านั้น แต่เชื่อว่าถ้าคุณได้อ่านแล้วจะทำให้มุมมองทางด้านการเงินของคุณเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน !

1.อย่าซื้อหนี้สิน ให้ซื้อทรัพย์สิ
ข้อแรกนี้ถือเป็นข้อที่สำคัญมากเพราะมันจะทำให้มุมมองการเงินของคุณเปลี่ยนไปตลอดการ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมองหนี้สินเป็นทรัพย์สิน จึงทำให้พวกเขาตกหลุมพลางจนก่อเกิดเป็นหนี้ในระยะยาวได้

หนี้สินคือ สิ่งที่ทำให้เราเสียเงิน (แม้ธนาคารจะบอกว่านั่นคือทรัพย์สินก็ตาม)
รถยนต์ = ออกมาใช้ในชีวิตประจำวัน (เอาเงินเดือนที่ได้มาผ่อน)
บ้าน = ซื้ออยู่เอง (เอาเงินเดือนที่ได้มาผ่อน)
*ของแบรนด์เนม = บางอย่างซื้อแล้วราคาตกเลย แต่บางอย่างซื้อแล้วราคาขึ้นก็ถือว่าเป็นทรัพย์สิน

ทรัพย์สิน คือ สิ่งที่ทำเงินให้เรา
รถยนต์ = ออกมาเพื่อส่งของ หรือใช้ในการทำธุรกิจต่าง ๆ ที่ทำเงินเพิ่ม
(เอาเงินที่รถคันนี้ทำได้มาเป็นค่าผ่อน)
บ้าน = ปล่อยเช่า (เอาค่าเช่าที่ได้มาผ่อนแทน / ขายต่อกินส่วนต่าง)

เช่น หากคุณอยากได้รถหรูสักคัน ให้นำเงินนั้นไปซื้อทรัพย์สินก่อน เมื่อได้กำไร หรือส่วนต่างจากทรัพย์สินที่ซื้อไปกลับมาก็เอาเงินตรงนี้ไปซื้อแทน

2.คนรวยไม่ออมเงินไว้เฉย ๆ
เชื่อว่า 90% ของคนทั่วโลก มักจะสอนลูกให้ประหยัดอดออม เก็บไว้มากเท่าไรก็ยิ่งดี
แต่คนรวยไม่ได้มองอย่างนั้นพวกเขาจะมองว่าจะเอาเงินเก็บที่เขามีไปต่อยอดธุรกิจอะไรที่จะทำให้เงินที่มีอยู่นั้นเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งคนทั่วไปอาจจะมองว่ามันมีความเสี่ยง แต่พวกคนรวยกลับคิดว่าความเสี่ยงพวกนี้นี่แหละที่จะทำให้เขามั่นคงขึ้นในอนาคต แถมบางทีการเก็บออมระยะยาวก็อาจเสี่ยงต่อสภาวะเงินเฟ้อได้อีกด้วย

3.จงอย่าเกลียดเงิน
คนส่วนใหญ่มักโทษว่าเงินเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความชั่วร้าย แต่คนรวยกลับมองว่าการไม่มีเงินต่างหากที่เป็นต้นเหตุของสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ลองคิดดูให้ดีทำไมโลกนี้ถึงมีโจร ทำไมถึงเกิดเหตุฆาตกรรม ถ้าคนพวกนี้มีเงินมากพอคุณว่าเขาจะยังทำแบบนี้ไหม ?

และยิ่งคุณมีความคิดที่เกลียดมันมากเท่าไร เงินก็จะไม่ไหลมาให้คุณใช้ เพราะสมองคุณจะปิดกลั้นสิ่งที่ไม่ชอบและไม่มองหาวิธีหรือแนวคิดใหม่ ๆ ในการทำเงิน ต่างจากคนรวยที่มองหาช่องทางทำเงินอยู่เสมอเพียงเพราะว่าพวกเขาหลงใหลมัน

4.คนรวยให้เงินทำงาน
คนส่วนใหญ่มักจะทำงานเพื่อแลกกับเงินเดือน และจะดีใจทุกสิ้นเดือนที่จะได้มีเงินไปกิน ไปเที่ยว และเอาไปใช้หนี้ แต่คนรวยกับนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็มีเงินหลั่งไหลเข้ามา เพราะเขาไม่ได้ใช้ตัวเองทำงาน แต่เขาใช้เงินทำงานต่างหาก

ในที่นี้ผู้เขียนไม่ได้บอกให้คุณลาออกจากงานประจำ แล้วมาทำธุรกิจของตัวเอง แบบคนรวยเดี๋ยวนั้น แต่อยากให้ทุกคนได้ลองมองหาโอกาสในการจะเริ่มทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่ตัวเองมีความรู้ ศึกษา ลงมือทำเล็ก ๆ น้อย ๆ และเมื่อสิ่งนั้นเริ่มลงตัวเมื่อไรคุณค่อยออกมาเป็นนายตัวเอง และหาวิธีให้เงินทำงานแทน

เช่น เมื่อก่อนคุณมีอาชีพเป็นครู คุณอาจจะใช้เวลาหลังเลิกงานสอนพิเศษ และเมื่อกลายเป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมาย และทำกำไรมากขึ้น ก็เอาสิ่งที่คุณสอนไปอัดลงในเทปบันทึกให้นักเรียนหลายคนได้เรียน หรือทำหนังสือขาย โดยที่คุณไม่ต้องลงแรงสอนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีรายได้เพิ่มขึ้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ให้เงินทำงานแทนเรา”

5.คนรวยจ่ายภาษีน้อยกว่าคนทั่วไป
เชื่อไหมว่าคนที่โดนเก็บภาษีมากที่สุดไม่ใช่คนรวย ! หลายครั้งที่เราเห็นรัฐบาลทั่วโลกใช้กฎหมายภาษีส่งเสริมการทำธุรกิจ เพื่อเพิ่ม GDP ให้ประเทศตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างทักษะและความรู้ การอุดหนุนค่าใช้จ่าย การรวบรวมข้อมูลทางการตลาด ภาษี ทรัพย์สินทางปัญญา ไปจนถึงเรื่องของภาษี

เช่น อเมริกา มีกฎหมายข้อที่ 1031 ว่า สรรพากรให้สิทธิเจ้าของบ้านเลื่อนจ่ายภาษีจากกำไรที่ได้จากการขายบ้านเดิมได้ ถ้าหากเจ้าของบ้านเอากำไรนั้นไปซื้อบ้านที่แพงกว่า
แสดงว่าตราบใดที่คุณยังซื้อขายบ้านต่อไปเรื่อย ๆ คุณจะไม่มีวันถูกเก็บภาษีเลยสักบาท เว้นแต่คุณจะขายบ้านเพื่อรับเป็นเงินสดแทน เท่ากับว่าคนรวยพวกนี้ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเลยแม้แต่บาทเดียวขณะเขาทำธุรกิจซื้อขายบ้าน !

นายทุนที่มีความรู้เรื่องการเงินหน่อย จะจัดตั้งบริษัทจำกัดขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยง
ภาษีโดยไม่ต้องมีสำนักงานใหญ่โตหรือพนักงาน แต่มีเพียงแค่เอกสารจดทะเบียนใบเดียว เพราะนอกจากบริษัทจำกัดจะเสียภาษีน้อยกว่าบุคคนธรรมดาแล้ว รายจ่ายของบริษัทยังสามารถนำไปหักรายได้ก่อนคิดภาษีได้ ต่างจากคนธรรมดาที่ต้องจ่ายภาษีแบบเต็ม ๆ หรือแม้จะมีลดหย่อนบ้าง แต่เมื่อเทียบกับคนรวยแล้วพวกเขาก็ยังจ่ายมากกว่าอยู่ดี

ดังนั้นการมีความรู้เรื่องการเงิน บัญชี ภาษี และกฎหมายถึงสำคัญสำหรับคนที่กำลังทำธุรกิจ และจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนรวยมักจะจ้างทนาย หรือ นักบัญชีเก่ง ๆ โดยไม่สนว่าจะมีค่าตัวสูงเท่าไร

อ้างอิงจาก : หนังสือพ่อรวยสอนลูก