ผิวต้องขาวดั่งตุ๊กตากระเบื้อง ปากต้องแดงดั่งเลือดนก !
คือคำนิยามความสวยของเหล่าราชวงศ์และชนชั้นสูงทั่วทั้งยุโรป โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าคำนิยามนี้จะกลายมาเป็นยาพิษที่ฆ่าตัวเองให้ตายอย่างช้า ๆ และถ้าหากให้พูดถึงแฟชั่นอันจัดจ้านของคนยุคนั้น ฝรั่งเศสก็ถือว่าเป็นหนึ่งตัวเต็งสำคัญที่จัดเต็มในทุกด้าน วันนี้เราเลยจะพาคุณมาส่องแฟชั่นสวยฉ่ำที่ต้องแลกมาด้วยความสวยสยองของสาวๆในราชวังแวร์ซายกัน
แป้งที่ทำจากสารตะกั่ว
เริ่มกันด้วยที่เมคอัพ หน้าขาวๆที่คุณเห็นกันอยู่นี้มาจากความเชื่อที่ว่า ใครผิวขาวแสดงว่าเป็นชนชั้นสูง แต่ถ้าดำแสดงว่าจน พวกสาวๆในวังจึงนิยมใช้แป้งสีขาวทาลงบนหน้าให้ขาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งสูตรที่ใช้ผสมบอกเลยว่าอันตรายมาก เพราะเขาจะใช้ผงตะกั่วผสมน้ำส้มสายชู แล้วหมักทิ้งไว้ในปุ๋ยคอก 3 อาทิตย์ให้นิ่ม ก่อนจะเอามาบดให้เป็นแป้งพร้อมผสมน้ำหอมลงไปแล้วนำไปตากแห้งอีกที จึงจะนำมาทาหน้า ด้วยความเชื่อผิดๆว่าตะกั่วจะทำให้หน้าขาวใส
แต่จริงๆแล้วกลับอันตรายมากเพราะมันจะทำให้ ผมบนศรีษะร่วงแล้วไม่งอกกลับขึ้นมาอีกเลย อีกทั้งยังทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ผิวหนังจะแห้งลอกจนแทบทนดูไม่ได้ และซ้ำร้ายอาจก่อให้เกิดมะเร็งจนเสียชีวิตในที่สุด
ลิปสติกที่ทำให้ฟันร่วงจนหมดปาก
ต่อมาคือรูจ (rouge) ที่ทั้งสาวๆและหนุ่มๆในยุคนั้นต้องใช้ปัดแก้มและปากให้แดงเท่าที่จะแดงได้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าใครที่ปากแดงแก้มแดงจะถือว่ามีสุขภาพดี เติบโตมาในตระกูลที่ดี แต่เจ้ารูจนี้มักถูกผสมมากับสารปรอท เพื่อให้ได้สีแดงฉ่ำใครได้ทาเป็นต้องปังทุกราย แต่ความสวยนี้ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่อาจทำให้ฟันร่วงหมดปาก ปากเหม็นเน่า จนอาจถึงขั้นพิการได้เลยทีเดียว
ทรงผมที่กลายเป็นเชื้อเพลิงเผาตัวเองทั้งเป็น
นอกเหนือจากเมคอัพแล้ว ทรงผมของคนที่นี่ก็ถือว่าปังไม่แพ้กัน โดยจะนิยมทำผมทรงฟอง ตางเก (The Fontange) ซึ่งเป็นการเกล้าผมให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความสูงของผมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้บอกถึงฐานะ แต่นั่นก็ต้องแลกมากับความตายอันสยดสยองที่หลายคนคาดไม่ถึง เพราะเคยมีคนโดนไฟคอกตายทั้งเป็นเนื่องจากผมไปโดนโคมไฟที่ห้อยอยู่กลางงานเลี้ยง ! ซึ่งนี่ก็คือภาพของพระนางมารี อ็องตัวแนตต์ ที่ลงทุนใช้เรือไม้อันเป็นเครื่องเรือนมาใช้ประดับไว้บนผมที่สูงกว่า 60 เซนติเมตร !
วิกผมที่สวยงามแต่เต็มไปด้วยเหา
และอย่างที่บอกไปว่าพอใช้สารตระกั่วหัวเลยล้าน ทำให้ชนชั้นสูงสมัยก่อนทั้งหญิงและชายต่างหันมานิยมใช้วิกผมกัน แต่ก็ไม่วายโดนเหาขึ้นหัว เพราะแชมพูที่ใช้มีส่วนผสมที่เหาชอบ พวกเขาจึงต้องจัดการมันด้วยการเอาวิกไปต้มหรืออบในเตา ด้วยเหตุนี้วิกผมเลยได้กลายมาเป็นเครื่องแต่งกายตามเกณฑ์อย่างแท้จริงสำหรับผู้ชายอันแสดงถึง สถานะทางสังคม ช่างทำวิกสมัยนั้นถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก โดยวิกผมที่ดีที่และสุดแพงที่สุด คือ วิกที่ทำมาจากผมคนจริงๆ
ปฏิวัติฝรั่งเศสใครแต่งหน้าต้องโดนตัดหัว
แต่แล้วการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อความเหลื่อมล้ำมันสูงเสียจนประชาชนทนไม่ไหว การแต่งหน้าทำผมกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความร่ำรวยและอำนาจ ทำให้ช่วงปฏิวัติใครที่ดูรวยก็มีสิทธิ์โดนจับไปตัดหัวหมด ดังนั้นการแต่งหน้าน้อยๆหรือไม่แต่งเลยจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด แถมพวกหมอก็เริ่มออกมาเตือนถึงอันตรายจากเครื่องสำอางค์พวกนี้ แฟชั่นอันจัดจ้านในยุคนั้นจึงค่อยๆสลายหายไปในที่สุด