ลงทุนกับเพชรยังไงให้ได้กำไร ?

เพชร อัญมณีเลอค่าที่หลายคนมองเป็นเพียงแค่เครื่องประดับ สัญลักษณ์แห่งคำมั่นสัญญา และมรดกตกทอด แต่สำหรับนักลงทุน เพชรถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ที่น่าลงทุนไม่น้อยกว่าทองและอสังหาริมทรัพย์

เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความคงทน คงคุณค่า และคงมูลค่าไม่หายไปตามกาลเวลา ในขณะที่ความต้องการยังคงเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณเพชรในธรรมชาติมีจำกัดและยังถูกควบคุมปริมาณการผลิตโดย De Beers และ Alosa บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่และผู้ผูกขาดอุตสาหกรรมเพชร ทำให้เพชรมีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงเศรษฐกิจที่ซบเซาแบบนี้ ยอดขายเพชรใรตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีนก็ยังเติบโดขึ้น 5 – 20% และให้ผลตอบแทนประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนหลายคนหันมาถือสินทรัพย์ทางเลือกอย่างเพชรไว้

แต่ไม่ใช่เพชรทุกเม็ดจะนำมาลงทุนได้ เพราะนอกจากจะต้องดูที่คุณภาพแล้ว ต้องมีใบเซอร์ชัวร์รับรองจากสถาบันระดับโลกด้วย วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูวิธีการเลือกเพชรที่น่าลงทุน พร้อมกับวิธีการอ่านและคำนวณราพาพอร์ต ที่จะทำให้เข้าใจถึงการลงทุนเพชร

เลือกเพชรยังไง ให้ได้กำไรงาม ด้วยเทคนิค 4Cs !

สำหรับการลงทุนเพชรนั้น ต้องแยกให้ได้ก่อนว่าเพชรอยู่ในเกรดไหน เพราะราคาเพชรแต่ละเกรดจะแตกต่างกันและต้องมีใบเซอร์ชัวร์จากสถาบันตรวจสอบคุณภาพเพชรที่น่าเชื่อถือ คือ GIA และ HRD ที่จะยึดหลัก 4Cs ในการประเมิน จะเป็นใบที่สามารถวัดราคาของเพชรแต่ละเม็ดตามเกรดในแต่ละด้าน คุณภาพของเพชร ยังไม่ใช่ปัจจัยที่จะสามารถกำหนดราคาซื้อขายได้อย่างแท้จริง เพราะยังขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลก ราคากลางเพชร ราคาซื้อขายจริง ค่าเงิน และกลไกของตลาด ดังนั้นผู้ลงทุนจำเป็นต้องศึกษาและอาศัยประสบการณ์ในการลงทุนด้วย

ราพาพอร์ต คือ ใบราคากลางเพชร ที่ทั่วโลกใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาซื้อขาย ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และจะอัพเดตในทุก ๆ สัปดาห์ บนเว็บไซส์ www.diamond.net ที่ต้องสมัครสมาชิกเพื่อดาวน์โหลด สามารถเลือกสมัครแบบรายปีในราคา 250 เหรียญสหรัฐฯ หรือสมัครแบบรายครั้งในราคา 50 เหรียญสหรัฐฯ แต่ราคาซื้อขายจริงจะมีการลดหรือเพิ่มจากราคากลาง ขึ้นอยู่กับความต้องการของสถานการณ์โลกและความยากง่ายในการหาเพชรเกรดนั้น ๆ ในแต่ละช่วงเวลา

อ่านราพาพอร์ตให้โปร
1. ดูวันที่และประเภทของราพาพอร์ตให้ถูกต้อง
2. เลือกตารางตามน้ำหนักเพชร โดยดูจากหัวตารางแถบที่ดำ ที่ไล่ระดับจาก 0.90 CT ถึง 10.99 CT
3. จากนั้นดูระดับสีของเพชรและค่าความสะอาด
4. เมื่อทราบทั้ง 3 ค่าแล้ว ก็จะสามารถรู้ตำแหน่งของราคากลางเพชรได้ โดยการพล็อตจุดที่ตัดกันของ ‘สี x ความสะอาด’ ในช่วงน้ำหนักของเพชรของเรานั้นเอง
5. นำราคากลางแบบย่อมาแปลงค่าโดยการคูณ 100 เข้าไป แล้วจึงคูณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเวลานั้น ๆ
6. จากนั้นนำค่าที่ได้ ไปคูณกับน้ำหนักเพชรเม็ดนั้น ๆ

เช่น ถ้าเพชรของคุณ หนัก 0.90 กะรัต สี F เกรด VS1
จะได้ตัวเลขราคามาที่ 71 นำ 71 x 100 = 7,100 USD
อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34 บาท : 7,100 x 34 = 241,400 บาท
แล้วเอา 241,400 x 0.90 = 217,260 บาท ซึ่งจะเป็นค่าราคากลางของเพชรเม็ดนี้

ถึงแม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาราคาเพชรจะตกลง แต่ก็กลับมามีราคาสูงอีกครั้งในปีนี้ และถ้าเปรียบเทียบกับราคาทองที่มีความผันผวนมากกว่า เพชรยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีผลกระทบน้อยที่สุด และกลับมามีราคาที่สูงได้

ทำให้เพชรเหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง (1 – 3 ปี) ถึงระยะยาว (3 – 5 ปี) ขึ้นไป เพราะจะเป็นระยะเวลาที่ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความคุ้มค่าชัดเจน และยิ่งลงทุนในเพชรน้ำดีหายาก มีความต้องการสูง ก็จะยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับเพชรเม็ดนั้นได้ แต่ต้องศึกษาแหล่งซื้อขายให้ดีก่อน ไม่งั้นอาจเสียกำไรโดยไม่รู้ตัวได้

เพชรเป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าสูง ที่คนส่วนใหญ่มองเป็นแค่สินทรัพย์เครื่องประดับและสะสมเป็นมรดก แต่หากเลือกซื้อให้ดีจากแหล่งธรรมชาติที่ดี คุณภาพดี มีการเจียระไนที่ประณีต จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากและมีความเสี่ยงที่ต่ำ

แน่นอนว่าสินทรัพย์เพื่อการลงทุนทุกอย่าง มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ และเพชรเป็นสินทรัพย์ที่คาดการณ์ราคาในอนาคตค่อนข้างลำบาก แต่ถ้าลงทุนในระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไปก็ชนะเงินเฟ้อได้ดี และมีความเชื่อมโยงกับค่าเงินเหมือนสินทรัพย์อื่น ๆ

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการลงทุนในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมากลับได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะมีวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือโรคระบาด ราคาของเพชรยังคงเติบโตขึ้นได้ ทำให้เพชรกลายเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ทางเลือกที่นักลงทุนให้ความสนใจ