เมื่อพูดถึง Blended Malt Whisky หลายคนคงนึกถึงสก๊อตวิสกี้
เนื่องจากมีรสชาติ และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ จนได้รับความนิยมจากนักดื่มทั่วโลก
อะไรที่ทำให้มันโดดเด่น และแตกต่างจากวิสกี้ทั่วไป ? วันนี้เราหาคำตอบมาให้คุณแล้ว

#การบ่มหมักวิธีการที่มากรายละเอียด

Blended Malt Whisky คือการนำ “Single Malt Whisky” จากหลากหลายโรงกลั่นมาผสมกัน
(“Single Malt”
คือ วิสกี้ที่ถูกผลิตขึ้นมาจากข้าวบาร์เลย์แท้ 100% โดยไม่มีข้าวอื่นผสม และต้องกลั่นจากโรงกลั่นเดียวเท่านั้น) โดยวิสกี้ชนิดนี้ต้องถูกบ่มในถังไม้โอ๊คอย่างน้อย 3 ปี ถึงจะได้มา และยิ่งบ่มนานเท่าไร ก็จะได้วิสกี้ที่มีรสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้นมากขึ้นเท่านั้น

#ทำไมต้องใช้มอลต์ที่ปลูกจากสก๊อตแลนด์ ?

จริง แล้ว Blended Malt Whisky ถูกผลิตขึ้นทั่วโลก แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือสก็อตแลนด์ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อม และภูมิอากาศที่เหมาะสม ทำให้มอลต์ที่ถูกปลูกขึ้นในแต่ละเขตมีกลิ่น และรสชาติเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป จึงไม่ใช่ที่ไหนก็ปลูกได้ อีกทั้งโรงกลั่นแต่ละเขตจะเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของตัวเอง เช่น ใช้น้ำแร่จากแม่น้ำที่ไหลผ่าน หรือลมที่ต่างกัน จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความลุ่มลึกในรสชาติ

#ความแตกต่างของวิสกี้แต่ละภูมิภาค

ล่าสุด Johnnie Walker ได้เปิดตัว Black Label Origins Series ซึ่งเป็น Blended Malt Whisky            ที่ถูกบ่มมายาวนานกว่า 12 ปี จาก 4 ภูมิภาคที่แตกต่างกันของสก็อตแลนด์ สองรสชาติหลักๆ ที่คนไทยจะได้ลิ้มลอง คือ Islay และ Highland มาดูกันว่าแต่ละรสชาติจะเป็นยังไงบ้าง

 

#Islay                                                                                                                    #อันดับหนึ่งของสก็อตวิสกี้

Islay เป็นหมู่เกาะเล็ก ทางตะวันตกของสก็อตแลนด์ แต่กลับมีชื่อเสียงด้านการผลิตวิสกี้มากที่สุด เนื่องจากเป็นเขตที่มอลต์ชื่อดังเฉพาะถิ่นและเด่นเรื่องกลิ่นของเครื่องเทศและรสชาติที่มีกลิ่นอายสโมคกี้ พร้อมกับมีอโรม่าของ Peat ซึ่งจะถูกเผารมควันเข้าไปในขณะกำลังเข้าขั้นตอนการเปลี่ยนข้าวบาร์เลย์ให้เป็นมอลต์

เมื่อผสมกับกลิ่นอายของทะเลแล้ว ทำให้มันมีกลิ่น และรสชาติเข้มข้น อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถึงขนาดที่สามารถรู้ได้เลยว่านี่คือวิสกี้จาก Islay เมื่อยืนใกล้ คนดื่มแบบ On The Rock                                               

หาซื้อได้แล้ววันนี้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ                                                              นอกจากตัว Johnnie Walker Black Label  Islay Origin แล้ว ยังมีอีก 1 ตัวที่จะเข้ามาเพิ่มเร็ว นี้          คือ Johnnie Walker Black Label Highland Origin


#Highland
#
เมืองใหญ่ที่สุดในการผลิตสก๊อตวิสกี้ 

Highland เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์ ทำให้มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
ทั้งพื้นดิน ทุ่งหญ้า และทะเล ทำให้เป็นที่ตั้งของโรงกลั่นจำนวนมาก วิสกี้ที่ถูกผลิตจากเมืองนี้ จึงมีหลายคาแร็กเตอร์ตั้งแต่ ฟลอรัล กลิ่นมอลต์ ผลไม้แห้งปนเครื่องเทศ น้ำผึ้ง ไปจนถึงสโมกกี้ เมื่อได้ลิ้มลองแล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงความฟรุตตี้เข้มข้นหนานุ่มระดับกลาง จากผลเบอร์รี่สีแดง และผลไม้เมล็ดแข็ง ซึ่งจะมีรสชาติที่เบากว่าวิสกี้จาก Islay แต่จะหนักแน่นกว่าวิสกี้ที่ได้จาก The Lowlands วิสกี้ตัวนี้จึงเข้าได้กับนักดื่มทุกคน

 

#Speyside 

Speyside วิสกี้ที่มาจากเขตนี้จะมีคาแร็กเตอร์ของผลไม้  พร้อมกับมีรสชาติของแอปเปิ้ลเขียว
ลูกแพร์ ไปถึงผลไม้แห้งอย่างลูกเกด หรือเครื่องเทศ เรียกได้ว่าเป็นวิสกี้ที่ให้เนื้อสัมผัสบางเบา
แต่รสชาติที่ได้รับกลับนุ่มลึก

#Lowland

Lowland เอกลักษณ์ของวิสกี้เมืองนี้ก็คือความบางเบา และนุ่มนวล ที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมหวานของวานิลลา    ผสมกับกลิ่นของทอฟฟี่ ให้ความรู้สึกละมุนลิ้นเมื่อได้สัมผัส